แสง กระสือ 2 เต็มเรื่อง
แสง กระสือ 2 เต็มเรื่อง การสานต่อโรแมนติกสยองขวัญที่แอบเนือย ปี 2019 เคยมีหนังไทยที่หยิบตำนานกระสือ-กระหังมาเล่าใหม่ให้กลายเป็นหนังแฟนตาซีสยองขวัญเคล้าโรแมนติก และสร้างกระแสตอบรับที่ดียิ่ง ผ่านมาถึงปี 2023 หนังเรื่องเดิมกำลังได้รับการสานต่อ เล่าถึง 30 ปีถัดจากเหตุการณ์ในภาคก่อนหน้า ในภาคต่อที่มีชื่อว่า ‘แสงกระสือ 2’ หรือ ‘Inhuman Kiss 2’ครั้งนี้ เนรมิตรหนัง ฟิล์ม, ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม ร่วมกันสร้าง โดยมี ฉายแสง แอด.เวนเจอร์ แสงกระสือ 2 เป็นผู้จัดจำหน่าย ส่วนผู้กำกับเปลี่ยนมือมาเป็น ปภังกร ปุญจันทรักษ์ โดยตัว เจเจ กฤษณภูมิ นักแสดงนำได้เคยเปิดเผยว่า กระสือในภาคนี้จะมีความจับต้องได้มากขึ้น มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ตีความว่าเป็นปรสิต เป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่ง มีความเข้ากับยุคสมัยนี้มากขึ้น อันนี้อ่านจากที่เขาเล่ามานะครับ
แสงกระสือ ภาคแรก ถือเป็นหนึ่งในปรากฎการณ์ของภาพยนตร์ไทยในขวบปีนั้น กับการนำเสนอเรื่องราวของผีพื้นบ้านในรูปแบบการตีความใต้นิยามคำว่าสัตว์ประหลาด ตัวหนังได้รับคำชมในหลายๆ พาร์ท #แสงกระสือ2 แสงกระสือ2 โดยเฉพาะการตีความเรื่องผีๆ พร้อมแจ้งเกิดดารานำฝ่ายหญิงน้อง มินนี่ อย่างเต็มตัว จึงไม่แปลกที่แสงกระสือ 2 จะถูกคาดหวังมากกว่าเดิม และแม้ท้ายที่สุดแม้จะเอาตัวรอดจากคำว่าหนังแย่ไปได้ แต่เมื่อเทียบกับบาร์ที่ภาคแรกเซ็ตไว้ ก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่า แสงกระสือ 2 ดรอปลงพอสมควร
แต่เอาเข้าจริงจะเทียบตรงๆ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะภาคแรกกับภาค 2 หนังมาคนละอารมณ์เลย ภาคแรกจะมีกลิ่นของแอคชั่นและเฮอเร่อที่เด่นชัดกว่า มันจึงเรียกอดรีนาลีนจากผู้ชมให้ลุ้นได้แทบจะตลอดเรื่อง แสงกระสือ 2 ก่อนจะตบท้ายด้วยไคลแมกซ์อันเป็นซีนแอคชั่นที่มีเรื่องให้ไฮป์มากมาย ผิดจากภาค 2 ที่ขอเดินคนละเวย์ชัดเจน ตัวหนังชูเรื่องของความรักระหว่างคนที่ถูกตราหน้าว่าแปลกประหลาดพร้อมแตกประเด็นไปถึงผลกระทบต่อคนรอบข้าง ซึ่งมันยากเกินกว่าแค่คำพูดว่ามักง่ายที่ว่า “ขอแค่เรามีกันและกันใครมันจะทำไม”
ดังนั้น แสงกระสือ 2 จึงมาเวย์ของหนังรักชัดเจน ซีนแอคชั่นน้อยกว่าภาคแรก ซีนหลอนน้อยกว่าภาคแรก มันไม่พยายามจะทำให้คนดูตื่นเต้นด้วยซ้ำแม้ในขณะที่กระสือกำลังถอดหัว เดินเรื่องโดยจังหวะที่ช้ามากๆ แต่ก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมามากมาย ซึ่งมันคงไม่ได้ตะขิดตะขวงอะไร หากมันสามารถเคลียร์ตัวเองได้หมด ทว่าก็ไม่ใช่ และทั้งๆ ที่หนังก็ให้เวลา 2 ตัวเอกเยอะมาก แถมทั้งเจเจและนิ้งก็เล่นได้ดี ทว่ากลับยังซื้อผมได้ไม่เท่าไหร่ แต่ส่วนนี้ก็ค่อนข้างปัจเจก เพราะคนที่นั่งด้านหลังผมก็ดูจะอินไม่เบาแสงกระสือ 2 | เดลินิวส์
กระนั้นก็มีส่วนที่ผมชอบมากๆ คือการต่อยอดในการตีความด้านมอนสเตอร์และพลังประหลาด ที่ นอกจากจะเล่าต่อได้ดีแล้ว ยังทำหน้าที่ส่งต่อได้อย่างน่าสนใจ หากจะมีเวิร์สของตัวเองขึ้นมาก็น่าลุ้นน่าเชียร์อยู่ ขณะที่ดีไซน์ดูจะเปลี่ยนไปหน่อยๆ กระสือมีระยางค์ที่ชัดเจนขึ้นจนดูคล้ายปลาหมึกมากกว่าเดิม ส่วนกระหังเอาจริงๆ มีความน่ากลัวมากขึ้น ปรับให้ดูเป็นผีมากขึ้น แต่ผมว่าผมชอบกระหังทรงมอนสเตอร์ดุดันในภาคแรกมากกว่า
พอมาถึง ‘แสงกระสือ 2’ ซึ่งฉายห่างจากภาคแรกถึงสี่ปี
มันก็ยังคงเป็นการตีความผีกระสือยุคใหม่ พร้อมเปลี่ยนมือทีมสร้างที่นำโดยค่ายคลื่นลูกใหม่ เนรมิตรหนัง ฟิล์ม จับมือกับพี่ใหญ่ ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม และได้ ดี้-ปภังกร ปุญจันทรักษ์ มากุมบังเหียนกำกับ เพื่อปลุกชีพกระสือในครั้งนี้
โดยภาคนี้เป็นเรื่องราวหลังจากที่น้อยหนีออกมาจากหมู่บ้านเดิม ก่อนจะเติบโตและพบรักครั้งใหม่ ซึ่งน้อยในวัยผู้ใหญ่รับบทโดย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หรือในชื่อที่เราคุ้นหูว่า น้อย วงพรู ซึ่งตัวละครน้อยในวัยผู้ใหญ่ยังคงมีเชื้อ ‘พิษกระสือ’ ที่ติดมาจากสาย ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย และมันถ่ายทอดสู่ สาว (นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์) ลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจของเขา ซึ่งน้อยต้องพึ่งพายาจาก บาทหลวงออกัสติน (โจ คัมมินส์) เพื่อกดอาการของลูกไม่ให้กลายร่างเป็นกระสือ ในขณะเดียวกัน สาวก็เริ่มผูกพันชอบพอกับลูกชายของบาทหลวงอย่าง คลาว หรือที่คนยุคนั้นออกเสียงแบบไทยๆ ว่า คล้าว (เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) หนุ่มผิวเผือกผู้มีพลังพิเศษบางอย่าง เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างคนชายขอบทั้งสองจึงบังเกิดขึ้น โดยหารู้ไม่ว่ามีอันตรายบางอย่างรออยู่ภายภาคหน้า
หลังรับชม ‘แสงกระสือ 2’ จบ เราถึงประมวลได้ว่า จริงๆ แล้ว ทั้งสองภาคนี้มีการเล่าเรื่อง เซตติ้ง และคอนเซปต์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีแค่การจับเอาตัวละครเก่าอย่างน้อยมาต่อยอดเท่านั้น ซึ่งแนวทางการพัฒนามาเป็นภาพยนตร์ภาคสองนี้ มีทั้งสิ่งที่ผู้เขียนชอบและไม่ชอบ ไล่เรียงดังต่อไปนี้
การตีความใหม่อีกครั้ง จาก ‘ผีไทย’ สู่ ‘มอนสเตอร์ไทย’
แม้หนังทั้งสองภาคจะมีจุดร่วมเหมือนกันในเรื่องของการสร้าง ‘ภาพจำใหม่’ ของผีกระสือ จากยายแก่สกปรก ให้กลายเป็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม และใช้การ ‘แตกเนื้อสาว’ จากเด็กหญิงสู่เด็กสาว มาเป็นจุดเปลี่ยนในการกลายร่างเป็นกระสือ
แต่เรื่องราวของกระสือในภาคแรก #แสงกระสือ2 ถูกตีความและบอกเล่าออกมาด้วยเลนส์ของการมองกระสือแบบ ‘ผีพื้นบ้าน’ มากกว่า โดยปรับดีไซน์ให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ ออกแบบให้หัวกับไส้มีรายละเอียดที่ ‘คลีนขึ้น’ แต่ก็ยังคงความรู้สึกเหนือธรรมชาติแบบภูตผีตามชนบท
ขณะที่ในภาคสอง ก็มีการพลิกโฉมใหม่อีกครั้ง โดยดีไซน์ไส้กระสือให้คล้ายหนวด ‘คราเคน’ ที่ให้ความรู้สึกไปทาง ‘มอนสเตอร์’ หรือสัตว์ประหลาดมากกว่าผี ซึ่งเกิดจากการที่ผู้กำกับตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับกระสือขึ้นมาว่า แสง กระสือ 2 หากกระสือคือ ‘ปรสิตจากนอกโลก’ ที่ตกลงมาพร้อมกับอุกกาบาตเมื่อ 1,000 ปีที่แล้ว จะเป็นอย่างไร?
เมื่อมองแบบนี้ กระสือจึงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยร่างของผู้หญิงเป็นที่ฟักตัว และกลายร่างเป็นกระสือเมื่อโตเต็มที่ ซึ่งเราค่อนข้างชอบใจในความกล้าทดลองของผู้กำกับ ถึงจะมีผู้ชมบางคนที่รู้สึกว่า หน้าตาแบบนี้มันดูไม่เป็นกระสือเอาเสียเลย แต่หากอ้างอิงจากครั้งแรกที่มีการพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘กระสือ’ ไว้ในเอกสารเก่า การลงรายละเอียดนิยามของกระสือมีเพียงแค่ ‘ดวงไฟ’ ที่ลอยได้ และอุปนิสัยการกินอาจมสกปรกเท่านั้น เรื่องหัว ไส้ หรืออวัยวะภายใน เป็นสิ่งที่ถูกเพิ่มเติมภายหลังจากจินตนาการของนักเขียนการ์ตูนผีสมัยก่อน และถูกนำมาผลิตซ้ำผ่านภาพยนตร์เรื่อยๆ จนเกิดเป็นภาพจำแสงกระสือ 2′ : หนังไทย ‘หวานปนสยอง’ ที่รสชาติยังขาดๆ เกินๆ
ดังนั้น การสร้างภาพจำใหม่ในแสงกระสือ 2 ครั้งนี้ เราคิดว่าผู้สร้างก็มีสิทธิ์ที่จะใส่ความสร้างสรรค์เพิ่มเติมลงไปได้ เพราะตำนานกระสือเป็น ‘พื้นที่เว้นว่าง’ ให้สามารถเติมอะไรก็ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนคนดูจะอินหรือไม่อิน ก็อยู่ที่ฝีมือของคนเล่า และรสนิยมของคนดู ไม่มีอะไรถูกผิด
เหล่าคาแรกเตอร์น่าสนใจ ที่ถูกบอกเล่าออกมาอย่างน่าเสียดาย
ในแสงกระสือทั้งสองภาค มีคาแรกเตอร์ที่เป็นตัวแทนของ Mentor ที่ช่วยชี้ทางให้ตัวเอก หรือแก้ปัญหาบางอย่าง ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง – ภาคแรกคือ พระ (พุทธ) ส่วนภาคสองคือ บาทหลวง (คริสต์) ซึ่งน่าคิดว่าทำไมหนังถึงใช้บาทหลวงมาเป็น ‘ภาพแทน’ ของคนที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องอาการกระสือ หรือจะสืบเนื่องจากที่ภาคนี้ ความเป็นกระสือถูกมองว่าเป็น ‘โรค’ หรือ ‘ปรสิต’ ตามกรอบแว่นทางวิทยาศาสตร์ ทีมผู้สร้างจึงเลือกตัวละคร ‘ฝรั่ง’ มาเพื่อสะท้อนภาพเหมารวมบางอย่างตามมุมมองของคนไทย ที่มักคิดว่า “ชาวต่างชาติ = ความก้าวหน้า” ก็เป็นได้
แต่อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่มวลไอเดียของตัวละครฝั่งวิทยาศาสตร์นี้ไม่ได้ถูกเกลี่ยให้เข้าที่เข้าทาง แถมยังตามมาด้วยการปูเรื่องอย่างยุ่บยั่บ โดยที่สุดท้ายก็ไม่ได้นำพาไปสู่อะไร มีเพียงบทพูดแปลกประหลาดบางอย่าง เช่น ในซีนอารมณ์หนึ่ง ตัวบาทหลวงพูดว่า “พวกแก (ลูก) ก็เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ของพ่อ” โดยไม่มีที่มาที่ไป หรือปราศจากการเล่าเรื่องต่อยอด เป็นต้น
และก็ยิ่งน่าเสียดายมากๆ กับตัวละคร อนันต์ (เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ) ที่ปูมาว่าเป็นลูกชายของบาทหลวง (น่าจะลูกบุญธรรม) และเป็นพี่ชายที่คอยดูแลคลาว จนสุดท้ายถูกส่งไปเรียนหมอที่ต่างประเทศ ด้วยความตั้งใจที่จะไปศึกษาเรื่องมนุษย์ผิวเผือกเพื่อเข้าใจน้องชายตัวเอง รวมถึงเรื่องพลังพิเศษที่น้องมี แต่ผ่านไปสิบปี อนันต์กลับมาแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบอะไร แถมไม่ได้มีซีนให้เขาได้แสดงองค์ความรู้ที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา ทั้งที่หนังอุตส่าห์ปูความน่าสนใจของตัวละครนี้มาเสียยาวเหยียดในตอนต้น
หรือในฝั่งของตัวละครที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไอเดียทางวิทยาศาสตร์ ตัวละครหลายตัวก็เหมือนถูกนำเข้ามาในหนังเพื่อถมเรื่องให้เต็ม เช่น ตัวละครนายทุนฝรั่งที่ไม่ได้ถูกให้เหตุผลว่ามีเข้ามาเพื่อนำไปสู่อะไร หรือแม้แต่ต้องการกระสือไปทำอะไร และมีสถานะเป็นแค่ตัวละครที่มาคอยชี้นิ้วสั่งตัวร้ายเฉยๆ (ทั้งที่จริงๆ ตัวร้ายก็มีจุดประสงค์หลักที่ชัดเจนกับกระสืออยู่แล้ว) การมีอยู่ของตัวละครนี้จึงกลายเป็นหนึ่งใน ‘ส่วนเกิน’ ของหนังไปโดยปริยาย
พลังทางการแสดง ที่แบกความน่าเชื่อถือของหนังทั้งเรื่อง
แต่จากคาแรกเตอร์ทั้งหมดที่กล่าวไป #แสงกระสือ2 แสง กระสือ 2 เราคงต้องขอชื่นชมพลังของนักแสดงที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆ ในพาร์ตของตัวเองทุกคน (ขอย้ำว่าทุกคนจริงๆ) แม้ว่าบทหนังจะไม่ช่วยส่งให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครต่างๆ เลยก็ตาม
อย่างเช่น น้อย วงพรู ผู้รับบทเป็นน้อย ที่ทำให้เราเชื่อได้สนิทใจว่า เขาคือพ่อที่พยายามทุ่มสุดตัวเพื่อปกป้องลูก พร้อมความรู้สึกผิดบาปในใจที่ทำให้ลูกต้องมารับกรรมพิษกระสือจากตัวเอง หรือ นิ้ง ชัญญา ที่ถ่ายทอดการแสดงตัวละครออกมาจนทำให้เราเชื่อได้ว่า เธอเป็นหญิงสาวที่ทุกข์ทรมานจากการเป็นกระสือ และทำให้เรารู้สึกกลัว เมื่อเธอเข้าโหมดบ้าคลั่งยามกลายร่าง
แต่ที่เซอร์ไพรส์สุดๆ เห็นจะเป็นโมเมนต์ที่เธอเข้าซีนคู่กับ เจเจ กฤษณภูมิ เพราะมนตร์เสน่ห์บางอย่างจากการแสดงของทั้งสองคนได้ช่วยสร้างมวลความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครให้มีความพิเศษขึ้นมาก จนเราอยากเห็นพวกเขาเล่นคู่กันอีกในโอกาสต่อๆ ไป